เอ.พี.ฮอนด้า ยกระดับด้วยชุดแข่งติดตั้งแอร์แบ็ก สานต่อโปรเจกต์ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” เปิดฉาก เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2020 มุ่งพัฒนานักบิดไทยสู่โมโตจีพีเต็มสูบ
เอ.พี. ฮอนด้า ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ต เดินหน้าสานต่อโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” ประกาศปรับรูปแบบการพัฒนาเด็กไทยสู่ “โมโตจีพี” อย่างเข้มข้น สร้างมาตรฐานใหม่ “ชุดแข่งติดตั้งแอร์แบ็ก” นำเข้าจากญี่ปุ่นครั้งแรกในไทย หวังยกระดับความปลอดภัยให้กับนักบิด พร้อมประเดิมเปิดฉาก “เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2020” สนามแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 17-18 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์ยากลำบากของวงการกีฬาทั่วโลก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตก็ได้รับผลกระทบโดยตรง โดย เอ.พี. ฮอนด้า ก็ได้มีการปรับแผนสำหรับโครงการ เรซ ทู เดอะ ดรีม ด้วยเช่นกัน เพื่อให้สามารถดำเนินการในปีนี้ จากสถานการณ์โควิดได้อย่างราบรื่น
“ในปีนี้เรายืนยันที่จะสานต่อโครงการ เรซ ทู เดอะ ดรีม ด้วยความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักแข่งไทยให้ก้าวสู่รายการโมโตจีพี ให้ได้ภายในปี 2025 โดยการจัดการแข่งขันรายการต่างๆ จะต้องดำเนินการตามมาตรการที่ประกาศจากทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด ส่วนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนานักแข่งในปีนี้ จะยังคงเน้นให้มีการยกระดับศักยภาพของนักแข่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเช่นเคย”
สำหรับประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงและเป็นการยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตครั้งใหญ่ นั่นคือ การสร้างมาตรฐานใหม่ของชุดแข่งที่ติดตั้งแอร์แบ็ก อุปกรณ์นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ช่วยลดแรงกระแทกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้สวมใส่ เป็นครั้งแรกในไทยที่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
นางจุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานกีฬายานยนต์ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันนอกจากรถแข่งที่เราใช้จะเป็นมาตรฐานระดับโลกอย่าง Honda NSF100 และ Honda NSF250 สเปกเดียวกับรถแข่งรุ่นโมโตทรี หลังจากนี้อุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างชุดแข่งที่มีแอร์แบ็กเข้ามาเสริม ก็จะยกระดับมาตรฐานเหมือนกับรายการโมโตจีพี ตามที่ทาง FIM ประกาศให้นักแข่งทุกรุ่นต้องสวมเรซซิ่งสูทที่มีระบบความปลอดภัยดังกล่าวด้วย โดยชุดแอร์แบ็กที่เรานำเข้าจากญี่ปุ่นจะถูกสวมใส่ให้กับเด็กๆ ที่ลงแข่งขันในรายการ เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ และ เอ.พี. ฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเล้นต์ คัพ ตั้งแต่ปี 2020 นี้เป็นต้นไป
ขณะที่รูปแบบของโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” ในปี 2020 จะมีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในโครงการ เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ ซึ่งจะเว้นวรรคการออดิชั่น คัดเลือกนักบิดเยาวชนทั่วประเทศออกไปก่อน 1 ปี นักบิดรุ่นจิ๋วที่ผ่านการคัดเลือกในปี 2019 ที่ผ่านมา จะได้รับการคัดเลือกโดยตรงเข้าสู่ เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2020 จำนวน 14 คน รวมกับเด็กที่ร่วมการแข่งขันในปี 2018 อีก 3 คน รวมทั้งสิ้น 17 คน เพื่อเข้าร่วมโครงการนี้อย่างต่อเนื่องในปี 2020-2021
ขณะเดียวกันรูปแบบการฝึกสอนจะเน้นหนักในเรื่องการ Training ในด้านต่างๆ ทั้งทักษะขับขี่, Physical การเสริมสมรรถนะทางร่างกาย, Attitude การสร้างทัศนคติ และสร้างความมีวินัยในการเป็นนักแข่งที่ดี ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักแข่งระดับโลก ที่นักบิดไทยจะต้องได้รับการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่จุดนั้นให้ได้
“ปกติจะมีเทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่นจาก HRC จำนวน 2 คน ได้แก่ ชินอิจิ อิโตะ อดีตนักบิดเวิลด์จีพีของฮอนด้า และ ทาคาชิ คามาตะ โค้ชผู้ชำนาญการด้านบริหารร่างกายสำหรับนักแข่ง แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด ส่งผลถึงการเดินทางข้ามประเทศ ในปีนี้เราจึงให้ “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดโมโตทูคนแรกของไทยเป็นกำลังหลักในการฝึกสอน โดยนำ Know How จากโค้ชญี่ปุ่นมาถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ซึ่งผู้ชนะประจำปีจะไม่ได้พิจารณาจากผลการแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่เราจะให้น้ำหนักไปที่การ Training ด้วย โดยน้องๆ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแสดงศักยภาพของการฝึกซ้อมออกมาให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ” ผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานกีฬายานยนต์ เอ.พี. ฮอนด้า กล่าวสรุป
การแข่งขัน เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2020 จะแข่งขันทั้งสิ้น 7 สนาม สนามละ 2 เรซ ออกสตาร์ทสนามแรกไปแล้วในวันที่ 16-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพฯ โดย 2 สนามแรก จะเน้นการฝึกทักษะและความแข็งแกร่ง ก่อนที่ 5 สนามถัดไปจะเป็นการแข่งขันจริงเพื่อเก็บคะแนนสะสม
แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” เพื่อเป้าหมายพัฒนานักแข่งไทยสู่ศึกรถจักรยานยนต์ระดับโลก โมโตจีพี ภายในปี 2025 ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม fb.com/aphondaracingth